“เจ้าทำให้ข้าโกรธ!!!!!!!!!”
:::::::::::::::::: Turn 3 ::::::::::::::::::“ไม่ใช่หมาป่าของเขาหรอกนะครับ” นี่มันอะไรเนี่ย สาบานได้เลยว่าสมองส่วนกลางของผมมันไม่ได้สั่งให้ปริปากออกไปเลยนะ ได้ข่าวว่านายเนี่ยมันคู่แข่งไม่ใช่เรอะ !?
“หมาป่ามันก็ต้องอยู่ในป่าไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะครับ” รอยยิ้มถูกตีขึ้นบนใบหน้า ไม่รู้มันมาจากไหนแต่สัญชาติญาณของผมสั่งให้ ..ยิ้ม.. ปากว่าไปมือก็ใช้พลังรักษารอยกัดที่มีเลือดสีแดงสดซิบๆอยู่
“อ้อ แล้วรูปวาดของท่านจอมราชันย์เสร็จแล้วนะขอรับ”
“จริงรึ ไหนขอข้าดูสิ”
“รับรองว่าเหมือนจริงทุกประการครับ” ฉับพลัน ร่างสูงใหญ่ค่อยๆเคลื่อนย้ายออกมาจากแผ่นกระดาษ แผ่นกระดาษบางๆค่อยๆปลิวร่อนลงสู่พื้นหญ้า พร้อมกับร่างอันหนักอึ้งที่ทิ้งหนักหนักลงสู่พื้นโลก
“เหมือนทั้งหน้าตา และความสามารถเลยครับ ภาพวาดเสร็จแล้ว ขอตัวนะขอรับ” ผมเดินอ้อมอาคิโมโตะไปทางด้านข้าง และเริ่มวิ่งตามเรฟที่วิ่งไปได้ไกลพอสมควร
เจ้าของฉายาจอมราชันย์จ้องเขม็งไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ทั้งหน้าตา ท่าทางช่างเหมือนกันเสียยิ่งแต่...
@@@@
“โอ้ ขณะที่มิคาเอลต้องเจอกับอุปสรรคที่ค่อนข้างจะใหญ่หลวง เรฟก็วิ่งแซงเขาไปซะแล้ว ว่าแต่เรามาดูผลงานของมิคาเอลกันเลยนะครับ” ตัวตลกสีส้มอธิบายอย่างออกรสชาติ นักวิจารณ์ที่นั่งอยู่ถัดมานั้นจับไมค์ให้กระชับและเริ่มทำการวิเคราะห์
“ครับ ภาพวาดของมิคาเอลนั้นมีความสมจริงมากครับ สิ่งที่ออกมานั้นหากวาดตามแบบแล้วเหมือนได้ร่างโคลนนิ่งออกมาเลยครับ แต่..”
“แต่อะไรหรือครับ” โฆษกไม่รอช้ายิงคำถามทันใด ตายังคงมองไปยังจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ภายในโดม กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า
“ด้วยคำสาปของมิคาเอลทำให้ผลของภาพที่ออกมานั้นไม่สมจริงครับ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ...” นักวิจารณ์อธิบายถึงคำสาปที่มิคาเอลได้รับ สายตาจ้องเขม็งไปยังจอมอนิเตอร์รอดูผลจากคำสาปนั้น
@@@@
“ต๊าย!ตัวเองงงงงงง” เสียงที่ดังมาจากด้านหลังผมนั้น ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองภายของกระเทยถึกที่อยู่ข้างหน้า ชุดเกราะสีดำมันวาวของทั้งสองตัดกับแสงอาทิตย์ส่องเป็นประกาย
“ไหนเจ้าบอกว่าเหมือนกันทุกอย่าง แล้วทำไม...” สายตาของราชันย์จ้องผมเขม็ง เขามองมาอย่างโกรธแค้น อาคิโมโตะยกเคียวยักษ์ของเขาขึ้นมา มือของเขาโบกสะบัด ควงเคียวอันหนักอึ้งดั่งโฟม เข่าของเขาย่อลงเล็กน้อยก่อนจะผลักตัวของเขาให้พุ่งมาทางผมอย่างรวดเร็ว
“จะไปไหนอะตัว คู่ต่อสู้ของตะเองคือเค้านะเธอว์” ดั่งเสียงสวรรค์ จอมราชันย์ใจสาว ยกเคียวขึ้นมาเกี่ยวร่างจริงอย่างเคอะเขิน ตัวของเขาบินไปมาดั่งเช่นงูที่ถูกสะกดจิตด้วยขลุ่ย
“แก...” อาคิโมโตะกัดฟันกรอด แต่เขาก็ไม่อาจสามารถพยศต่อแรงของตนเองได้
“อะ อ่า ฝากด้วยนะครับ” ผมคงไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับจอมราชันย์ทั้งสองนอกจากให้พวกเขาจัดการกันเอง
ภาพวาดนั่นจะต้านทานได้สักเท่าไหร่นะ ...
@@
ทางด้านเรฟนั่นก็ไม่ได้ไปไกลสักเท่าไรนัก ผมวิ่งไล่ตามเขามาติดๆ เขายืนอยู่บนเงาของหมาป่าที่กำลังวิ่งแทนเขาอยู่ และอีก 2 ตัวขนาบข้างราวกับอารักขา
แสงอาทิตย์ส่องสว่างจ้ารุนแรงขึ้นเรื่อย อุณหภูมิค่อยๆสูงขึ้นจนร้อนระอุ หากสติไม่ได้คงอาจได้เห็นโอเอซิสอยู่ข้างหน้าก็ได้ ต้นไม้ใบหญ้านิ่งสงบ ไม่มีท่าทีของลมแต่อย่างใด สิ่งที่ทำได้คือวิ่ง และเอาชนะเรฟให้ได้
ในเมื่อถึงขนาดนี้ก็คงไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป
เจ้าหมาป่าไซบีเรียนของเรฟหยุดชะงักและหันกลับมาทางผม มันทั้งสามกัดฟันขู่และเห่าหอนเสียงดัง เรฟหันกลับมาทางผมและพบกับสิ่งที่กำลังวิ่งไปหาเขา
ภาพของพญาสัตว์ป่าค่อยๆถูกถอดออกมาจากกระดาษ ราชสีห์ย่างไปข้างหน้าอย่างน่าเกรงขาม มันแยกเขี้ยวของมันและคำรามออกมา กระดาษของผมถูกเก็บลงและเริ่มออกตัววิ่งพร้อมกับสิงโตที่วิ่งขนาบข้าง
เรฟหันหลังกลับและวิ่งต่อ ปล่อยหมาป่าของเขาจัดการกับสิงโต และผมก็คงทำแบบเขาเช่นกัน ผมวิ่งผ่านหมาป่าที่วิ่งตามผมและเห่าอย่างน่ารำคาญ เจ้าสิงโตยักษ์วิ่งเข้าเข้าตะครุบหัวหน้าหมาป่าและ...
เมี้ยวววว
มันค่อยๆเลียอย่างทะนุถนอม กอดอย่างแน่นราวกับเป็นแม่ของมัน
ผมสะดุ้งเฮือกอย่างใจหาย แต่เท้าก็ยังคงวิ่งต่อไป ไล่ตามแวมไพร์ยังคงนำผมอยู่
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับภาพวาดของผมกันแน่เนี่ย?
ในเมื่อใช้ภาพวาดไม่ได้ก็คงต้องใช้เวทมนตร์สินะ !!
ผมปล่อยลำแสงออกไป 5 เส้น และค่อมๆเพิ่มขึ้นเรื่อย ลำแสงถูกกระหน่ำเข้าหาแวมไพร์ที่อยู่ข้างหน้า เสียงระเบิดตูมตามที่ลำแสงกระทบลงพื้นก่อให้เกิดฝุ่นคลุ้งไปหมด เรฟยังคงวิ่งต่อไป และไม่มีทีท่าจะลดความเร็ว แต่ความเร็วของเขากลับเพิ่มขึ้นอีก ลำแสงยังค่อยถูกปล่อยๆต่อไปเรื่อยๆ แวมไพร์อย่างเขาคงไม่ถูกกับพลังธาตุแสงมากนัก
แต่กลับกันฝุ่นที่คลุ้งอยู่นั้นเปลี่ยนจากสีน้ำตาลเป็นสีแดงเลือด เศษดินค่อยๆหายไป ลำแสงที่ถูกยิงไปนั้น กระทบเข้ากับม่านหมอกสีแดงเรื่อ และถูกดูดเข้าไปราวกับเครื่องดูดฝุ่น
“Scarlet Fog....” เรฟหันหน้ากลับมายิ้มกับผมอย่างเป็น “คราวนี้จะเอายังไงต่อดีครับ”
เขาหยิบดาบสไตล์ยุโรปสีดำสนิทออกมา และเริ่มสะบัดมันเบาๆ ในไม่ช้าไอความมืดค่อยๆผ่านเข้าสู่ปอดจนรู้สึกเวียนหัว สิ่งที่ตามมาคือคลื่นพลังที่กระแทกเค้ากลางลำตัว จนผมต้องกระเด็นถอยออกไป เรฟเริ่มวิ่งนำผมไปอีกแล้ว
ผมพยายามใช้เวทมนตร์รักษาแผลจากคลื่นความมืดนั่น ก่อนที่จะใช้ปีกที่ค่อนข้างจะแข็งแรงกว่าขาพยุงตัวขึ้นมาและเริ่มวิ่งต่อ
คราวนี้ขอผมรุกบ้างนะ !!
เรฟหยุดชะงัก และเหมือนกับชนอะไรบางอย่าง
“นี่มันอะไรเนี่ย” เรฟยกมือขึ้นมาคลำรอบๆตัวของเขา ใช่แล้ว ขณะนี้เขาถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงแสงบางๆแล้วล่ะ
“Barrier..” ผมวิ่งไปที่ข้างๆเขา หันไปยิ้มให้เข้าอย่างเป็นมิตร “คราวนี้จะเอายังไงต่อดีครับ” นี่เป็นอาจเป็นเพียงแค่โอกาสเดียวที่ผมจะวิ่งแซงเรฟได้เพราะความเร็วของผมก็ไม่ได้สูงมากนัก กำแพงบางๆนั้น ... จะป้องกันแวมไพร์อย่างเขาไปได้สักกี่น้ำนะ ..